เมนู

[752] พระนางผู้มีพระเนตรอ่อนหวาน ทรง
บำรุงบำเรอข้าพระบาทด้วยข้าว น้ำ ผ้า
ที่นอน และแม้ด้วยพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า-
ตัมพราช ขอพระองค์โปรดทรงทราบอย่างนี้
เถิด.

จบ สุสันธีชาดกที่ 10

อรรถกถาสุสันธีชาดกที่ 10


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้กระสันอยากสึก จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
วาติ คนฺโธ ติมิรานํ ดังนี้ :-
ได้ยินว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า
เธอกระสันอยากสึกจริงหรือ เมื่อภิกษุนั้นทูลรับว่า จริง พระเจ้าข้า
จึงตรัสว่า เพราะเห็นอะไร เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า เพราะเห็น
มาตุคามประดับประดาแต่งตัว พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ธรรมดาว่ามาตุคามนี้ ใครๆ ไม่อาจรักษาไว้ได้ แม้โบราณกบัณฑิต
จะรักษาไว้ในสุบรรณพิภพ ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ อันภิกษุนั้นทูล
อาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่าตัมพราช ครองราชสมบัติอยู่
ในนครพาราณสี พระอัครมเหสีของพระเจ้าตัมพราชนั้น พระนามว่า

สุสันธี ทรงพระรูปโฉมอันล้ำเลิศ. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิด
ในกำเนิดสุบรรณพิภพ. ในกาลนั้น ได้มีเกาะนาคชื่อว่า เสรุมทวีป.
พระโพธิสัตว์อยู่ในสุบรรณพิภพ เกาะนี้. พระโพธิสัตว์ออกจาก
สุบรรณพิภพไปยังนครพาราณสี แปลงเพศเป็นมาณพ เล่นสกากับ
พระเจ้าตัมพราช. หญิงผู้เป็นปริจาริกาเห็นรูปสมบัติของมาณพนั้น
จึงทูตพระนางสุสันธีว่า มาณพชื่อเห็นปานนี้ เล่นสกากับพระราชา
ของเราทั้งหลาย. พระนางสุสันธีนั้นได้ฟังดังนั้น มีความประสงค์
จะดูมาณพนั้น วันหนึ่ง ทรงแต่งองค์แล้วเสด็จมายังสนามเล่นสกา
ประทับยืนอยู่ในระหว่างพวกนางปริจาริกาทรงแลดูมาณพนั้น. ฝ่าย
มาณพนั้นก็แลดูพระเทวี ชนทั้งสองต่างมีจิตปฏิพัทธ์กันและกัน.
พระยาสุบรรณทำลมให้ตั้งขึ้นในนครด้วยอานุภาพของตน มนุษย์
ทั้งหลายพากันออกจากพระราชนิเวศน์ เพราะกลัวเรือนพัง. พระยา
สุบรรณนั้นกระทำความมืดมนด้วยอานุภาพของตนแล้ว พาพระเทวี
มาทางอากาศ แล้วเข้าไปยังพิภพของตน ณ เกาะนาคทวีป. ชื่อว่า
คนผู้จะรู้สถานที่ที่พระนางสุสันธีเสด็จไป มิได้มีเลย. พระยาสุบรรณ
นั้นอภิรมย์อยู่กับพระนางสุสันธีนั้น ไปเล่นสกากับพระราชา. ก็
พระราชานั้นมีคนธรรพ์ ชื่อว่า อัคคะ. ท้าวเธอไม่ทรงทราบสถานที่
ที่พระเทวีเสด็จไป จึงตรัสเรียกคนธรรพ์นั้นมาแล้วทรงส่งไปด้วย
พระดำรัสว่า ดูก่อนพ่อคนธรรพ์ เธอจงไป จงเที่ยวไปตามทางบก
และทางน้ำให้ทั่วจนพบเห็นสถานที่ที่พระเทวีเสด็จไป. คนธรรพ์นั้น

ถือเอาเสบียงทางแล้วค้นหาไปตั้งแต่บ้านใกล้ประตูจนถึงท่าภารุกัจฉา.
ครั้งนั้น พ่อค้าชาวภารุกัจฉาจะแล่นเรือไปยังสุวรรณภูมิ. คนธรรพ์
นั้นจึงเข้าไปหาพ่อค้าเหล่านั้น แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นคนธรรพ์
นักขับร้องจักทำการขับร้องให้แก่พวกท่าน โดยหักเป็นค่าเรือ ของท่าน
ทั้งหลายจงพาข้าพเจ้าไปด้วย. พ่อค้าเหล่านั้นรับว่าได้ แล้วให้เขา
ขึ้นไปยังเรือแม้นั้นแล้วออกเรือไป. เมื่อเรือแล่นไปแล้ว พ่อค้า
เหล่านั้นจึงเรียกคนธรรพ์นั้นมาแล้วกล่าวว่า จงทำการขับร้องให้แก่
พวกเรา. คนธรรพ์กล่าวว่า ถ้าข้าพเจ้าจะทำการขับร้องไซร้ ก็เมื่อ
กำลังขับร้องอยู่ฝูงปลาทั้งหลายจักเคลื่อนไหว เมื่อเป็นเช่นนั้นเรือ
ของท่านทั้งหลายจักแตก. พวกพ่อค้ากล่าวว่า เมื่อกระทำการขับร้อง
อยู่ในทางของมนุษย์ ชื่อว่าพวกปลาจะเคลื่อนไหวย่อมไม่มี ท่านจง
ขับร้องเถอะ. คนธรรพ์จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายอย่าโกรธ
ข้าพเจ้า. แล้วแก้พิณออกทำการขับร้องให้เสียงดีดพิณเข้ากับเสียงขับ
และให้เสียงขับเข้ากับเสียงดีดพิณ. ปลาทั้งหลายเคลิบเคลิ้มเพราะ
เสียงนั้นจึงพากันเคลื่อนไหว. ครั้งนั้น มังกร (ชนิดของปลา) ตัวหนึ่ง
กระโดดตกลงไปในเรือทำให้เรือแตก. นายอัคคะนั้นนอนอยู่ในแผ่น-
กระดานลอยไปตามลมจนถึงแหล่งของต้นไทรอันเป็นสุบรรณพิภพ
ณ เกาะนาคทวีป. ฝ่ายพระนางสุสันธีเทวี ในเวลาที่พระยาสุบรรณไป
เล่นสกากับพระราชา ก็ลงจากวิมานเดินเที่ยวไปที่ชายฝั่ง เห็นคน-
ธรรพ์ชื่อว่าอัคคะนั้น ทรงจำได้ จึงถามว่า ท่านมาได้อย่างไร ?

คนธรรพ์นั้นจึงทูลให้ทราบทั้งหมด. พระนางสุสันธีจึงปลอบโยน
คนธรรพ์นั้นว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านอย่ากลัวไปเลย แล้วเอาแขน
ทั้งสองโอบอุ้มขึ้นไปยังวิมาน ให้นอนบนที่นอน ในเวลาที่นาย
อัคคะกระปรี้กระเปล่าขึ้นแล้ว ก็ให้โภชนาหารทิพย์ ให้อาบน้ำหอม-
ทิพย์ ให้นุ่งห่มผ้าทิพย์ ประดับด้วยของหอมและดอกไม้ทิพย์ แล้วกลับ
ใหันอนบนที่นอนทิพย์อีก. พระนางปฏิบัติคนธรรพ์นั้น ด้วยประการ
อย่างนี้ เวลาพระยาสุบรรณมา ก็ปกปิดไว้เสีย เวลาพระยาสุบรรณ
ไป ก็อภิรมย์ด้วยอำนาจกิเลสกับคนธรรพ์นั้น. จากนั้น ล่วงไปได้
กึ่งเดือน พ่อค้าชาวเมืองพาราณสีมาถึงที่โคนต้นไทร ในเกาะนั้น
เพื่อต้องการจะเอาฟืนและน้ำ. นายอัคคะนั้นนั่งเรือไปยังนครพาราณสี
กับพระเทวีนั้น ได้เฝ้าพระราชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ครั้นในเวลา
พระยาสุบรรณนั้นมาเล่นสกาจึงถือพิณ เมื่อจะขับร้องถวายพระราชา
จึงกล่าวคาถาที่ 1 ว่า
กลิ่นดอกติมิระฟุ้งตลบไป น้ำทะเล
ก็กึกก้องคนองลั่น พระนางสุสันธีอยู่ห่าง
ไกลนครนี้แท้ ข้าแต่พระเจ้าคัมพราช กาม
ทั้งหลายเสียบแทงหัวใจข้าพระบาทอยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติมิรานํ ได้แก่ ดอกของ
ต้นติมิระ. เขาว่า มีต้นติมิระล้อมรอบต้นไทรนั้น. นายอัคคคนธรรพ์
กล่าวอย่างนั้น โดยหมายเอาต้นติมิระเหล่านั้น. บทว่า กุสมุทฺโท

ได้แก่ น้ำทะเล. บทว่า โฆสวา แปลว่า มีเสียงดังลั่น. นายอัคค-
คนธรรพ์กล่าวอย่างนั้น โดยเอาทะเลใกล้ ๆ ต้นไทรนั้นเท่านั้น. บทว่า
อิโต หิ แปลว่า จากนครนี้. นายอัคคนธรรพ์เรียกพระราชาว่า
ตมฺพ. อีกอย่างหนึ่ง ด้วยบทว่า ตมฺพกามา นี้ ท่านแสดงว่า
กามที่พระเจ้าตัมพราชทรงใคร่ ชื่อว่า ตัมพกาม กามนั้นเสียบแทง
หัวใจข้าพระบาทอยู่.
พระยาสุบรรณได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-
ท่านข้ามทะเลไปได้อย่างไร ท่านได้
เห็นเกาะเสรุมะได้อย่างไร ดูก่อนนายอัคคะ
ความสมาคมของนางและท่านได้มีขึ้นอย่าง
ไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสรุมํ ได้แก่ เกาะชื่อเสรุมะ.
ลำดับนั้น อัคคคนธรรพ์ได้กล่าวคาถา 3 คาถาว่า :-
เมื่อพวกพ่อค้าผู้แสวงหาทรัพย์ ออก
ไปจากท่าชื่อภรุกัจฉา พวกมังกรทำให้เรือ
แตก เราได้ลอยไปกับแผ่นกระดาน
พระนางสุสันธีมีกลิ่นภายหอมดังแก่น
จันทน์อยู่เป็นนิจ ผู้น่าดูน่าชม ทรงเห็น
ข้าพระบาทผู้ข้ามห้วงมหรรณพได้เพราะแผ่น

กระดานแล้ว ปลอบโยนด้วยวาจาอันอ่อน-
หวาน ทรงอุ้มข้าพระบาทด้วยแขนทั้งสอง
ประหนึ่งมารดาอุ้มบุตรผู้เกิดจากอกฉะนั้น.
พระนางผู้มีพระเนตรอ่อนหวาน ทรง
บำรุงบำเรอข้าพระบาทด้วยข้าว น้ำ ผ้า
ที่นอน และแม้ด้วยตัวพระองค์เอง ข้าแต่
พระเจ้าตัมพราช ขอพระองค์โปรดทรงทราบ
อย่างนี้เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สา มํ สณฺเหน มุทุนา ความว่า
พระนางทรงเที่ยวไปที่ฝั่งสมุทร ทรงเห็นข้าพระบาทผู้ข้ามขึ้นฝั่งด้วย
แผ่นกระดานอย่างนี้แล้ว ทรงปลอบโยนด้วยวาจาอันไพเราะอ่อน
หวานว่าอย่ากลัวเลย. ด้วยบทว่า องฺเคน นี้ แขนทั้งคู่ท่านเรียกว่า
อังเคนะ ในที่นี้. บทว่า ภทฺทา ได้แก่ น่าดู น่าพิศมัย. บทว่า
สา มํ อนฺเนน ความว่า พระนางบำเรอข้าพระบาทให้อิ่มหนำ
ด้วยข้าวเป็นต้นนี้. บทว่า อตฺตนาปิ จ นี้ ท่านแสดงว่า มิใช่
แต่ข้าวเป็นต้นอย่างเดียวเท่านั้น แม้ตัวพระองค์เองก็ทรงบำเรอให้
อิ่มหนำอภิรมย์อยู่. บทว่า มทฺทกฺขี แปลว่า มีนัยน์ตาอ่อนหวาน
ท่านอธิบายว่า มีการแลดูด้วยอาการอ่อนโยนเป็นปกติธรรมดา. บาลีว่า
มตฺตกฺขี ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า ประกอบด้วยดวงตาประหนึ่งว่ามัวเมา

ด้วยความเมา ดวงตาหยาดเยิ้ม บทว่า เอวํ ตมฺพ ความว่า
ข้าแต่พระเจ้าตัมพราช ขอพระองค์โปรดทรงทราบอย่างนี้.
เมื่อคนธรรพ์อยู่นั้นแหละ พระยาสุบรรณ มีความร้อนใจ
คิดว่า เราแม้อยู่ในสุบรรณพิภพ ก็ไม่อาจรักษานางได้ เราจะ
ประโยชน์อะไรด้วยนางผู้ทุศีล จึงนำพระนางมาถวายคืนพระราชา
แล้วหลีกไป. ตั้งแต่นั้น ก็ไม่ได้มาอีกเลย.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรง
ประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดกว่า ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้
กระสันจะสึก ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. พระราชาในครั้งนั้น ได้
เป็นพระอานนท์ ส่วนพระยาสุบรรณในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสุสันธีชาดกที่ 10

รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ


1. มณิกุณฑลชาดก 2. สุชาตชาดก 3. เวนสาขชาดก
4. อุรคชาดก 5. ธังกชาดก 6 การันทิยชาดก 7. ลฏุกิกชาดก
8. จุลลธรรมปาลชาดก 9. สุวรรณมิคชาดก 10. สุสันธีชาดก.
จบ มณิกุณฑลวรรคที่ 1